วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สรุปการสัมมนาโครงการวิจัย “ จริยธรรมในวิชาชีพกฎหมาย ”

วันพุธที่ 20  กรกฎาคม 2554
ณ  ห้องเกียรติยศ ชั้น  2  อาคาร 1  สำนักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน้ำ)
___________________________


เริ่มประชุมเวลา  9.00 น.


เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว หัวหน้าโครงการวิจัยและประธานในที่ประชุมได้กล่าวเปิดการสัมมนาจริยธรรมในวิชาชีพกฎหมาย โดยมีผู้เข้าร่วมในการสัมมนาจากผู้แทนทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิเช่น กรรมการ ป.ป.ช. สมาชิกวุฒิสภา  ผู้แทนจากหอการค้าไทย  สภาทนายความ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สมาคมธนาคารไทย สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ  สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงยุติธรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
สำนักงานศาลปกครอง มหาวิทยาลัยมหิดล  มหาวิทยาลัยรามคำแหง เนติบัณฑิตยสภา  สำนักงาน ป.ป.ช.เป็นต้น


ประธานกล่าวรายงานผลการศึกษาเบื้องต้นเรื่องจริยธรรมในวิชาชีพกฎหมาย และแนะนำคณะผู้วิจัยและอธิบายความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย  ขอบเขตการศึกษาวิจัย   สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้คือ ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็น
ผู้รักษากฎหมายตามหลักนิติธรรม ในระบบสากลนั้น
ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายจัดเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอำนาจทางบริหารและเป็นผู้รักษาหลักนิติธรรม (Rule of law)  ดังนั้น  หากผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายไม่มีความเป็นอิสระและไม่มีความรู้ ก็จะถูกบดขยี้จากอำนาจรัฐ  โดยเฉพาะเรื่องการตีความกฎหมาย ตั้งแต่สมัยกรีก-โรมัน ถึงยุคปัจจุบัน ความยุติธรรมเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด หากที่ใดไม่มีความยุติธรรม ที่นั้นก็จะเกิดกลียุค


จริยธรรมเป็นการพัฒนาการที่เกิดจากการเสียสละความสุขส่วนตัว  จริยธรรมสาธารณะมีความสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศที่เจริญแล้ว คนที่ทำหน้าที่ดูแลกฎหมายจะได้รับความเชื่อถือและเชื่อมั่น ในต่างประเทศ   จริยธรรมจะหมายความรวมถึงการเตือนให้ปฏิบัติตามจริยธรรมและรวมถึงการส่งเสริมด้วย  ส่วนวินัยเป็นเรื่องที่มุ่งลงโทษ
ผู้ฝ่าฝืนจริยธรรม   ดังนั้น  จริยธรรมจึงเป็นหลักที่ส่งเสริมการตัดสินใจที่ทำเพื่อยกระดับจิตใจ และเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางวินัยด้วย


ปัจจุบัน  สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมืองเปลี่ยนแปลงไป  ทำให้จริยธรรมเปลี่ยนแปลงไปด้วย บางการกระทำอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ใช่การผิดจริยธรรมร้ายแรง แต่อาจเป็นเรื่องทำให้เกิดความไม่น่าเลื่อมใสอันมีผลต่อจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย


จากการศึกษาพบว่าสถิติเรื่องที่มีการกล่าวหาผู้พิพากษา  ตุลาการศาลปกครอง   ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พนักงานอัยการ มายังสำนักงาน ป.ป.ช. มีหลายเรื่อง  โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บางเรื่องเป็นการร้องเรียนว่า ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายดังกล่าวไม่ฟังเสียง  ไม่ยอมรับ หรือมีคำสั่งแล้วไม่แจ้งเหตุผล  ไม่นำพยานหลักฐานที่เขาคิดว่าสำคัญเข้าสืบโดยสงสัยว่าจะมีการลำเอียง หรือสงสัยว่าจะมีการรับสินบน   ซึ่งเรื่องร้องเรียนเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองความยุติธรรม อันจะนำมาสู่การแก้ไขให้เกิดความยุติธรรมต่อไป  ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ในอดีต ประเทศไทยจะไม่มีการเก็บข้อมูลจากการที่ประชาชนมาร้องเรียน  แต่งานวิจัยนี้จะนำข้อมูลทางสถิติมาใช้ในการวิเคราะห์ด้วย ซึ่งจะแตกต่างกับในต่างประเทศจะมีการเก็บข้อมูลทางสถิติไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล  harmful  error หรือ harmless  error  แต่ในประเทศไทยยังไม่มีการแสดงข้อมูลทางสถิติเหล่านี้  โดยอาจจะเห็นว่าไม่มีความสำคัญ    สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไทยควรมีการยกระดับเพื่อให้ทัดเทียมกับระดับสากลต่อไป


ปัจจุบันประเทศไทยได้ลงนามในข้อตกลง FTA ทำให้จะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน มาตรฐานวิชาชีพ เพื่อเตรียมรองรับการเปิดเสรีด้าน legal service กับนานาประเทศตามข้อตกลง นอกจากนี้
อาเซียน ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกร่วมอยู่ด้วยได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้งประชาคมอาเซียนขึ้นภายในปี
ค.ศ.2015


ในด้านองค์ประกอบกฎหมายจะเห็นได้ว่าเรื่องจริยธรรมจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.  และผู้ตรวจการแผ่นดิน ในฐานะที่เป็นผู้ทำหน้าที่กำกับดูแล  การ
ไต่สวนจริยธรรม และกระบวนการถอดถอน  จึงต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนว่า กรณีใดบ้างเป็นกรณีที่เป็นความผิดจริยธรรมร้ายแรง กรณีใดเป็นเรื่องการผิดจริยธรรม
ทั่วไป ซึ่งในงานวิจัยนี้จะมีการเก็บข้อมูลกรณีต่าง ๆ


จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า ปัญหาจริยธรรมในวิชาชีพกฎหมายที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจาก
- การรับสินบน , วิ่งเต้น
- ปัญหาความไม่เป็นกลางของผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย , การเลือกปฏิบัติ
- สภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
- ระบบอุปถัมภ์
- การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรมวิชาชีพ
- ปัญหาการควบคุมคุณภาพการศึกษาของผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย
(จากนโยบายธุรกิจการศึกษา “ จ่ายครบ  จบแน่ ” 
สู่ปัญหาการขาดคุณภาพของคน/
ผู้เรียนกฎหมายมีมากเกินไป  ล้นตลาดแรงงาน)
- ปัญหาการขัดกันของผลประโยชน์ , การมีส่วนได้เสีย
- ค่านิยมและทัศนคติของสังคม , ลัทธิบริโภคนิยม
- การขาดความตระหนักถึงปัญหาจริยธรรมของบุคลากรในองค์กร
- การขาดการติดตามตรวจสอบขององค์กรภายนอกและองค์กรภายใน
- ขาดการเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น การตรวจสอบประวัติและความประพฤติ ,
การรายงานเรื่องการกระทำความผิดย้อนกลับ
- การที่ผู้กระทำขาดความละอายต่อบาป  (หิริโอตตัปปะ)
- ปัญหาความขัดแย้งระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้อง


จากการสัมภาษณ์สถาบันการศึกษากฎหมายบางแห่งพบว่า ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาสถานศึกษาไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงเรื่องจริยธรรมวิชาชีพกฎหมายกับสถานศึกษาและ มีความเห็นว่าเป็นเรื่องของแต่ละองค์กรวิชาชีพเฉพาะ เช่น สภาทนายความ หรือ
เนติบัณฑิตสภา เท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับในต่างประเทศ  ยกตัวอย่างเช่นประเทศเกาหลี  จะมีการเชื่อมโยงการเรียนการสอน  การจัดทำหลักสูตร กับเรื่องจริยธรรมวิชาชีพกฎหมายทั้งระบบ   มิใช่เป็นการให้ความสำคัญเรื่องจริยธรรมวิชาชีพกฎหมายเป็นเพียงวิชาเลือก เพื่อให้นักศึกษาเลือกเรียน เท่านั้น  ดังนั้น ในอนาคตเราควรมีการยกเครื่องระบบการเรียนการสอนทั้งระบบ  นอกจากนี้ พบว่าในสถาบันอุดมศึกษา พบปัญหาเรื่องการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญความรู้ในด้านนี้อย่างแท้จริง ประกอบกับ
สภาพปัญหาของสถาบันอุดมศึกษาซึ่งขณะนี้กำลังมีปัญหาเรื่อง “ จ่ายครบ จบแน่ ” ทำให้เกิดคำถามว่า
“เราจะหวังอะไรกับจริยธรรมวิชาชีพ ”  เพราะเมื่อผู้เรียนเรียนจบการศึกษาเพราะการจ่ายเงิน  แสดงให้เห็นถึงการล้มเหลวทางการศึกษา  และยังพบปัญหาการซื้อขายปริญญาและใบประกอบวิชาชีพครูอีกด้วย


ในต่างประเทศ  เนติบัณฑิตยสภาจะมีบทบาทและมีกลไกควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายเข้มแข็งมาก หาก
เนติบัณฑิตยสภาพบว่า สมาชิกเนติบัณฑิตยสภาขาดจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพ ก็จะมีการเพิกถอนความเป็นสมาชิก อันส่งผลให้ขาดคุณสมบัติความเป็นผู้พิพากษาและพนักงานอัยการด้วย  โดยการตรวจสอบจะไม่รอให้หน่วยงานเฉพาะขององค์กรวิชาชีพนั้นตรวจสอบก่อน ในประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลี อำนาจการตรวจสอบนี้จะรวมอยู่ที่ศาลฏีกา และศาลยังทำหน้าที่เป็น
ผู้กำหนดมาตรฐานวิชาชีพด้วย


จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในปัจจุบันหลายประการ เช่น
- การขาดความเชื่อมั่นศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม
- สังคมเกิดความวุ่นวาย ปั่นป่วน
- คนไม่เคารพกฎหมาย และการพยายามบังคับใช้กฎหมายด้วยตนเอง เช่น การประท้วง ปิดถนน การ
ใช้ความรุนแรงอื่น ๆ
- วิกฤตศรัทธาต่อสถาบันและองค์กรของผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย

วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ มีขึ้นเพื่อ
- เพื่อศึกษาพัฒนาการของหลักจริยธรรมในวิชาชีพ   กฎหมาย เปรียบเทียบของไทยและของ
ต่างประเทศ
- เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาทางจริยธรรมในวิชาชีพกฎหมายและผลกระทบของปัญหาที่มีต่อสังคมไทยในปัจจุบัน
- เพื่อวิเคราะห์กลไกที่ควบคุมความประพฤติเบี่ยงเบน จากจริยธรรมของบุคคลในวิชาชีพกฎหมาย
- เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับจริยธรรมในวิชาชีพกฎหมาย


  ในการศึกษา จะจำกัดขอบเขตการศึกษาคือ ผู้พิพากษา พนักงานอัยการ ทนายความ ตุลาการศาลปกครอง  ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  แต่ไม่รวมถึงนักกฎหมายภาครัฐ  เพราะเห็นว่าจัดอยู่ในส่วนของข้าราชการพลเรือน และกลุ่มที่ปรึกษากฎหมายในภาคเอกชน


ในการดำเนินการวิจัย จะผสมผสานกันระหว่างการวิจัย
เชิงปริมาณและวิจัยเชิงคุณภาพโดยจะมีการกำหนดกลุ่มประชากรตัวอย่างในการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล   และดำเนินการต่อไปในการกำหนดกรอบจริยธรรมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย โดยมีเครื่องมือการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์และแบบสำรวจ ซึ่งคณะ
ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยในระยะเวลารวม 1 ปี 6 เดือน (เริ่มเดือนมกราคม 2554) 


ขณะนี้ได้มีการเก็บข้อมูลภาคสนามและมีการสัมภาษณ์
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแล้ว  รวมถึงการประสานงาน
เพื่อขอข้อมูลสถิติเรื่องร้องเรียนเพิ่มเติมต่อไป


สำหรับสาเหตุแห่งการกระทำผิด ได้แก่ การขาดการอบรมให้ความรู้ด้านคุณธรรมจริยธรรมควบคู่ไปกับความรู้ด้านกฎหมาย  ระบบการเรียนการสอนที่เน้นการท่องจำ ปัจจัยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ฯลฯ เป็นต้น


 สำหรับข้อเสนอแนะนั้น  จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านได้ให้ข้อเสนอแนะ ได้แก่
- ควรปลูกฝังวิชาจริยธรรมในวิชาชีพกฎหมายควบคู่กับการให้ความรู้ทางวิชาการด้านกฎหมาย ตั้งแต่ระดับอุดมศึกษาที่มีการเรียนการสอน วิชานิติศาสตร์  และหลักสูตรขององค์กรต่างๆที่ประกอบอาชีพโดยใช้วิชากฎหมาย  และการปลูกฝังเรื่องจริยธรรมทั่วๆไป และควรมีการดำเนินการในระบบการศึกษา   ทุกระดับ
- ระบบการเรียนการสอนควรเนินการให้คิดเป็นมากกว่าการจำ เพราะจะทำให้คนคิดเป็นในเบื้องต้นว่าอะไรควรกระทำ อะไรไม่ควรกระทำ ที่มีเหตุผลประกอบการตัดสินใจ
- ผู้ประกอบวิชาชีพทนายความควรต้องจบการศึกษา
เนติบัณฑิต
- ควรลดขั้นตอนการลงโทษ โดยตัดขั้นตอนการพิจารณาของนายกสภาพิเศษฯ ออก เพราะการลงโทษผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาทฯ และคณะกรรมการสภาทนายความแล้ว จากนั้นจึงมีสิทธิไปฟ้องศาลปกครอง
- รัฐควรให้เงินอุดหนุนสภาทนายความ  ไม่เฉพาะในส่วนการให้การช่วยเหลือประชาชนเท่านั้น เพราะการควบคุมมรรยาททนายความก็มีส่วนสำคัญในการช่วยรัฐในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม
- ควรมีการควบคุมที่ปรึกษากฎหมายในการประกอบวิชาชีพ โดยการออกใบอนุญาตด้วย
- เนติบัณฑิตยสภา ควรเพิ่มบทบาทในการควบคุมจริยธรรมของสมาชิก
- คณะกรรมการควบคุมวิชาชีพ ควรมีบุคคลภายนอกที่เป็นตัวแทนจากผู้ใช้บริการเข้ามาเป็นกรรมการด้วย
- ผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการ ป.ป.ช.ควรปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมตรวจสอบผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายในภาครัฐ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
- ควรผลิตอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่สอนวิชาจริยธรรมในวิชาชีพกฎหมาย
- ควรยกย่อง เชิดชู ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายที่ยึดมั่นในจริยธรรม


จากนั้น ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้มีการอภิปรายและแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้


1.เรื่องการปลูกฝังจริยธรรม 
ที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่า ควรมีการเริ่มต้นปลูกฝังจริยธรรมตั้งแต่ยังวัยเยาว์  โดยเริ่มตั้งแต่การอบรมสั่งสอนในครอบครัว  สถานศึกษา  สถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิชาชีพ เพื่อให้เกิดจิตสำนึกตั้งแต่แรกเริ่ม


ผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า ควรแบ่งจริยธรรมออกเป็นสองระดับคือจริยธรรมทั่วไป กับจริยธรรมวิชาชีพกฎหมาย และมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การอบรมสั่งสอนแต่ดั้งเดิมของไทย ที่แฝงความหมายและคำพูดในคำพังเพยหรือคำอวยพรต่าง ๆ เช่น
 “ มีเงินนับว่าน้อง มีทองนับว่าพี่ ”  หรือคำว่า  “ กิ๊ก ”  หรือคำอวยพรในเทศกาลปีใหม่ที่ว่า “ ขอให้รวย ”  นั้น สิ่งเหล่านี้มีส่วนในการสนับสนุนแนวคิดการบริโภคนิยม และการให้ความสำคัญกับทรัพย์สินเงินทอง  


ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายจะต้องมีจริยธรรมสูงกว่าบุคคลโดยทั่วไป และมีข้อสังเกตว่า  ในการปลูกฝังเยาวชนในอดีตแตกต่างจากปัจจุบัน กล่าวคือ ในอดีต การปลูกฝังเยาวชนจะสอนให้รู้จักหน้าที่ สอนเรื่องสมบัติผู้ดี  หน้าที่พลเมือง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในระบอบประชาธิปไตย  แต่ปัจจุบันการเรียนการสอน  สมัยนี้  มีการสอนเรื่องสิทธิเด็ก  สิทธิสตรี แต่การสอนเรื่องหน้าที่ขาดหายไป ทำให้เยาวชนขาดความรู้ความเข้าใจในหน้าที่


สำหรับการเรียนการสอนนักศึกษากฎหมายนั้น  ผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านหนึ่งตั้งคำถามว่า ผู้ที่สอบไล่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นตัวอย่างด้านจริยธรรมได้มากหรือน้อยเพียงใด  บางสถาบันอุดมศึกษามีการนำนิสิตไปศึกษาชีวิตนอกห้องเรียน เช่น การฝึกให้นิสิตเรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้านว่ามีปัญหากฎหมายหรือไม่  อย่างไร  และจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าความรู้ด้านวิชาการเพียงประการเดียว


 ผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า การอบรมสั่งสอน การอ่าน การท่องจำ การสร้างคู่มือ หรือการให้ความรู้ ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้บุคคลนั้นมีจริยธรรมวิชาชีพ   แต่ควรหาวิธีการที่จะทำให้การปลูกฝังจริยธรรมเกิดการสร้างให้เกิดขึ้นจริงในตัวบุคคล และควรปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของทัศนคติผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า จริยธรรมและศีลธรรม เป็นเรื่องของหลักความประพฤติที่ดีงาม และมีความเชื่อมโยงกัน  ในประเทศไทยทั้งสองเรื่องมีความใกล้เคียงกันมาก เนื่องจากส่วนใหญ่จะนำมาจากหลักทางพระพุทธศาสนา และส่วนหนึ่งมาจากขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยสมัยโบราณ


2.เรื่ององค์กรที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลจริยธรรมวิชาชีพ
        ผู้เข้าร่วมประชุมมีความเห็นและข้อเสนอแนะ
แยกออกเป็นสองความเห็น สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้คือ
         ความเห็นที่หนึ่ง  เห็นว่า ควรมีองค์กรกลางทำหน้าที่ในการกำกับดูแลจริยธรรมของผู้ประกอบ
วิชาชีพกฎหมาย  และควรมีการผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ
          ความเห็นที่สอง เห็นว่า ควรเป็นหน้าที่ขององค์กรวิชาชีพเฉพาะของผู้ประกอบวิชาชีพนั้นในปัจจุบันนี้เหมาะสมแล้ว โดยได้มีการยกตัวอย่างประวัติศาสตร์การแยกตัวขององค์กรวิชาชีพที่ผ่านมาเพื่อสนับสนุนแนวความคิดนี้


3.เรื่องเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา
        ผู้เข้าร่วมประชุมให้ความเห็นว่า ควรเพิ่มเติมสาเหตุปัญหาในเรื่อง
3.1 ความมุ่งมั่นในการทำคดี  ความสนใจในการศึกษาข้อมูลของกระบวนการยุติธรรม เพราะจากที่ปัญหาที่พบ เห็นว่า ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายที่ทำคดีมีความละเอียดในการทำงานแตกต่างกันส่งผลต่อการให้เหตุผลใน
คำวินิจฉัยหรือคำตัดสินคดีที่แตกต่างกัน
3.2 ความล่าช้าในการตัดสินคดี ดังคำกล่าวที่ว่า
“ ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือการไม่ได้รับความยุติธรรม ”  อันส่งผลกระทบต่อทั้งโจทก์และจำเลยในคดี
3.3 ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีที่ค่อนข้างสูง  ทำให้ประชาชนไม่สามารถ
เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียมกัน
3.4 ปัญหาอันเกิดจากความรู้สึกของผู้ฟ้องคดีที่มักจะรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอันเนื่องจากระบบการพิจารณาคดีปกครอง ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า น่าจะมีสาเหตุมาจากกระบวนการพิจารณาคดีปกครองมีความซับซ้อน และศาลปกครองจะใช้ระบบไต่สวน และเป็นผู้ทำหน้าที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริงในคดี ซึ่ง
แตกต่างจากศาลยุติธรรมซึ่งใช้ระบบกล่าวหา  ดังนั้น
ในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดี บางครั้งหลักฐานที่ได้อาจจะเป็นประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้ถูกฟ้องด้วยก็ได้ หากเป็นกรณีนี้  คู่กรณีที่ไม่เข้าใจกระบวนการพิจารณาของศาล ก็อาจจะมองว่าศาลไม่วางตัวเป็นกลาง และในการชั่งน้ำหนักพยาน จะเป็นการพิจารณาระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์สาธารณะ  และบางครั้งไม่ใช่เรื่องการชี้ถูกหรือผิด แต่เป็นเรื่องที่เห็นว่าเรื่องนี้ควรจะเป็นอย่างไร
3.5  ปัญหาเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญของผู้ตัดสินคดี  การขาดความใฝ่รู้และการไม่พัฒนาตนเองหรือขาดการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป หรือความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาที่พบมากในขณะนี้คือเรื่องของความรู้ความชำนาญในกฎหมายเฉพาะทาง ซึ่งส่งผลให้การตัดสินคดีอาจขาดความเป็นธรรม และปัญหาเรื่องคุณภาพของคำวินิจฉัย


4. เรื่องเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ
ผู้เข้าร่วมประชุมท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า โดยส่วนใหญ่ทนายความมีความรู้เกี่ยวกับมารยาททนายความ  ส่วน
การกระทำความผิดนั้น  จากประสบการณ์ในการพิจารณาวินิจฉัยคดีมารยาททนายความพบว่าเป็นการกระทำความผิดโดยเจตนา และการลงโทษจะแบ่งตามระดับการลงโทษ  ส่วนสถิติการร้องเรียนทนายความที่กระทำผิด
มีแนวโน้มที่สูงขึ้นและสถิติที่แสดงอาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากอาจจะมีจำนวนมากกว่าที่ปรากฏ เพราะมีบางกรณีที่มีคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีผู้ร้องเรียนเข้ามา และนอกจากนี้ยังพบว่าคดีความผิดที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นไปตามจำนวนทนายความที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีประกอบกันด้วย


สำหรับข้อสังเกตของการรายงานผลการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับความล่าช้าในการพิจารณาคดีมารยาททนายความนั้น สาเหตุเนื่องมาจากการที่ทนายความเป็นผู้มีความรู้ในการต่อสู้คดีความ จึงรู้วิธีการต่อสู้คดี  จึงทำให้การพิจารณาคดีของคณะกรรมการเป็นไปด้วยความล่าช้า


ผู้เข้าร่วมสัมมนาให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กำลังมีการดำเนินการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยทนายความ โดยมีการเสนอให้ตัดสัดส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมออกไป เพราะเห็นว่าเป็นนักการเมือง และคดีที่สภาทนายความฟ้องร้องก็มักจะมีการฟ้องรัฐมนตรีรวม
เข้าไปด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น 
แต่ก็มีแนวความคิดว่าหากตัดสัดส่วนรัฐมนตรีออกไป
ก็ควรมีการเสนอให้มีการเพิ่มผู้ทรงคุณวุฒิจากตัวแทนบุคคลภายนอกมาทำหน้าที่ในการคานอำนาจแทน  รัฐมนตรีบางท่านเองก็เห็นด้วยที่จะตัดตำแหน่งนี้ไป
เนื่องจากมักถูกฟ้องเป็นจำเลยทั้งในคดีอาญาและคดีปกครองร่วมกับสภาทนายความด้วย ส่วนนิยามของคำว่าทนายความนั้นอาจจะให้หมายความรวมถึงที่ปรึกษากฎหมายด้วย


ในการฟ้องร้องคดีมารยาททนายความ  ศาลปกครองเคยมีคำวินิจฉัยว่ากรรมการมารยาททนายความมิใช่ผู้ออก
คำสั่งทางปกครอง แต่เป็นคณะกรรมการที่อยู่ในชั้นเสนอความเห็นประกอบการพิจารณา  ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่ทำ
คำสั่งทางปกครองคือกรรมการบริหารของสภาทนายความ


สำหรับเรื่องการคิดค่าจ้างทนายความ  ผู้เข้าร่วมสัมมนาให้ความเห็นว่า แต่เดิมประเทศไทยรับเอาธรรมเนียมปฏิบัติเรื่องการคิดค่าทนายความจากประเทศอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้ซึ่งแต่เดิมเคยมีแนวบรรทัดฐานของศาลว่า ห้ามคิดค่าจ้างว่าความเป็นเปอร์เซ็นต์จากลูกความนั้น  ปัจจุบันแนวบรรทัดฐานดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วตามสภาพเศรษฐกิจ ในประเทศอังกฤษเองก็ได้มีการลดความเข้มงวดในแนวบรรทัดฐานที่เคยวางไว้แต่เดิมแล้ว  แต่ควรมีการตรวจสอบแนวบรรทัดฐานในเรื่องนี้ที่ชัดเจนต่อไป


ผู้เข้าร่วมสัมมนาจากสภาทนายความให้ความเห็นว่า  เห็นด้วยที่จะกำหนดให้ผู้ที่จะมาสอบใบอนุญาตทนายความควรจบการศึกษาจากเนติบัณฑิตยสภาด้วย  แต่การอบรมวิชาชีพทนายความนั้นควรเป็นหน้าที่ของสภาทนายความต่อไป ส่วนเรื่องเกี่ยวกับงบประมาณในการช่วยเหลือประชาชน  เห็นว่าในขณะนี้สภาทนายความได้รับงบประมาณไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือประชาชนตาม
ค่าใช้จ่ายจริงที่สภาทนายความให้การช่วยเหลือประชาชน


5 .เรื่องเกี่ยวกับบทบาทของเนติบัณฑิตยสภา
ผู้เข้าร่วมประชุมท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า เนติบัณฑิตยสภาควรเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการรับรองหรือไม่รับรองสถาบันการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับเรื่องจริยธรรมวิชาชีพ


ผู้แทนจากเนติบัณฑิตยสภาได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการเรียนการสอนและการศึกษาในปัจจุบันของเนติบัณฑิตยสภา และกล่าวว่า ในการจัดทำกรอบสมาชิกเนติบัณฑิตยสภานั้น  ในอดีตเคยมีการประชุมในปี พ.ศ.2549 ว่าจะมีการจัดทำกรอบจริยธรรมขึ้น  สำหรับเรื่องกระบวนการพิจารณากลั่นกรองผู้เป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภานั้น  ในทางปฏิบัติ  เมื่อมีผู้ร้องขอเป็นสมาชิก  เนติบัณฑิตยสภาจะเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกยื่นคำร้องคัดค้านหากเห็นว่าผู้สมัครสมาชิกขาดคุณสมบัติความเป็นสมาชิก โดยจะมีการประกาศต่อสาธารณชน ให้ยื่นคัดค้านภายในระยะเวลา 15 วัน  และผู้สมัครจะต้องแจ้งให้ทราบว่าเคยกระทำความผิดเรื่องใดมาก่อนหรือไม่ ส่วนการสอบสวนกรณีเห็นว่าสมาชิกอาจจะเข้าข่ายผิดจริยธรรมนั้น มีหลักเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาสามเรื่องหลัก คือ เรื่องความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่  ความผิดศีลธรรม  ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ  สำหรับเรื่องการลบชื่อผู้เป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาในกรณีที่มีการกระทำผิดจริยธรรม  ปัจจุบันในทางปฏิบัติ หากมีเรื่องร้องเรียนเข้ามา เนติบัณฑิตยสภาจะส่งเรื่องให้องค์กรวิชาชีพนั้นเป็นผู้สอบสวนก่อนแล้ว  หากพบว่ามีความผิด  เมื่อสอบสวนและ
ลงโทษแล้ว จึงจะส่งมาให้เนติบัณฑิตยสภาดำเนินการลบชื่อออกจากความเป็นสมาชิกกรณีมีการอ้างกฎหมายนิรโทษกรรม  เนติบัณฑิตยสภาก็นำมาพิจารณาประกอบการรับสมัครสมาชิกด้วย


6.เรื่องอื่น ๆ 
 ผู้เข้าร่วมสัมมนาบางท่านได้ให้ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ดังนี้
 - ปัจจุบันมีปัญหาเรื่องการขาดการติดตามความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายภายหลังจากที่มีการสอบเข้าเป็นพนักงานอัยการแล้ว
 - ควรให้เนติบัณฑิตยสภาทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของจริยธรรมวิชาชีพกฎหมาย และทำหน้าที่ในการสอบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้นเกี่ยวกับความผิดของผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายก่อนจะส่งให้หน่วยงานเฉพาะรับผิดชอบคดีต่อไป  และทำหน้าที่ในการกำกับดูแลเรื่องถอดถอนสมาชิกภาพของผู้เป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาในกรณีที่พบว่ากระทำผิดจริยธรรมวิชาชีพ  แต่ทั้งนี้จะต้องมีการกำหนดสัดส่วนของผู้แทนของผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายให้เหมาะสม
 - ควรมีการให้นิยามศัพท์คำว่าจริยธรรมและจริยธรรมวิชาชีพในงานวิจัยให้ชัดเจนมากขึ้น ว่าไม่เกี่ยวกับคุณธรรมส่วนบุคคล
 - ควรมีการเผยแพร่ประมวลจริยธรรมวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย ว่าได้ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมวิชาชีพที่กำหนดหรือไม่  เพียงใด
 - สาเหตุของจริยธรรมวิชาชีพบางกรณีไม่ชัดเจน ควรมีการปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
- เรื่องคุณสมบัติของผู้ศึกษากฎหมายและผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย เห็นว่า จะต้องมีคุณลักษณะ   มีใจรักความยุติธรรม กล้าแสดงออกและกล้ายืนหยัดในสิ่งที่
ถูกต้อง
- เรื่องเกี่ยวกับจำนวนสถาบันและการเปิดการศึกษา
เห็นว่า สถาบันอุดมศึกษาในปัจจุบันมีการเปิดการเรียนการสอนกฎหมายจำนวนมาก และมีการเน้นความสำคัญแตกต่างกัน เช่น บางสถาบันเน้นด้านกฎหมายธุรกิจ 
บางสถาบันเน้นด้านกฎหมายมหาชน บางสถาบันเน้นกฎหมายพื้นฐาน กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา โดยการมุ่งเน้นเพื่อมุ่งสอบเป็นผู้พิพากษาหรือพนักงานอัยการเนื่องจากมีอัตราค่าตอบแทนสูง  ทั้งนี้เนติบัณฑิตยสภาจะเน้นจริยธรรมวิชาชีพในระดับสูงขึ้นมาในส่วนที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน


 จากนั้น ประธานได้กล่าวสรุปตอนท้ายว่า การค้นหาจริยธรรมในวิชาชีพกฎหมายก็คือเรื่องของการสร้างคน
ซึ่งต้องอาศัยทั้งการอบรมเพียงประการเดียว คงไม่เพียงพอ เพราะขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ทำหน้าที่ในการอบรม และคนที่ทำหน้าที่อบรมมีจริยธรรมเพียงพอหรือไม่  ปัจจุบัน ความเข้าใจในเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม ยังคงมีความสับสน จำเป็นจะต้องวางหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน 
ในส่วนของจริยธรรมวิชาชีพกฎหมาย เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ สิ่งที่ขาดหายไปคือศูนย์กลางในการควบคุมดูแล และขาดการติดตามตรวจสอบเพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายอยู่ในกรอบจริยธรรมอย่างเข้มแข็ง  การส่งเสริมจริยธรรมในสังคมจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดการพัฒนาไปสู่ระบบความยุติธรรมอย่างยั่งยืนต่อไป


 เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว ประธานได้กล่าวขอบคุณ
ผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน และได้กล่าวปิดการประชุม
  
เลิกประชุมเวลา 12.00 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น